August 24, 2025
CREEX
Designer ส่วนใหญ่กลับหมดเวลาไปกับ งานรูทีนซ้ำ ๆ มากกว่างานที่สร้างคุณค่าจริง
ใช้ AI ไม่ได้แปลว่า ขี้เกียจ
ในโลกของ UX/UI เรามักถูกสอนให้โฟกัสกับสิ่งใหญ่ ๆ อย่างการทำ Research, การสร้าง Wireframe และ Prototype, การทดสอบ usability หรือการดูแล Design System
แต่ความจริงที่เจอกันทุกวัน คือ Designer ส่วนใหญ่กลับหมดเวลาไปกับ งานรูทีนซ้ำ ๆ มากกว่างานที่สร้างคุณค่าจริง
𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 → อ่าน feedback/transcript เป็นร้อย ๆ หน้า
𝗪𝗶𝗿𝗲𝗳𝗿𝗮𝗺𝗲 → หน้าเดียวใช้เวลาเฉลี่ย 3 ชั่วโมง (เว็บเล็ก 10 หน้า = 30 ชั่วโมง / 4 วันเต็ม)
𝗠𝗶𝗰𝗿𝗼𝗰𝗼𝗽𝘆 → ข้อความไม่กี่คำ แต่ต้องแก้ไปแก้มาหลายรอบ
𝗣𝗿𝗼𝘁𝗼𝘁𝘆𝗽𝗲 → ทำเสร็จยังไม่ทัน test ลูกค้าก็แก้ requirement เพิ่มอีก
𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 𝗦𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺 → ทุกครั้งที่ทีมแก้ไข inconsistency ก็โผล่มาให้ตามแก้
ทั้งหมดนี้ไม่ได้วัดว่าใครเป็น Designer ที่เก่ง แต่วัดว่าใครเสียเวลาไปกับงานที่ ไม่สร้างคุณค่า
"เพราะแบบนั้น… ใช้ AI ไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ"
แต่มันแปลว่า Designer ฉลาดพอที่จะไม่ปล่อย productivity ของตัวเองหายไปกับงานที่เครื่องทำแทนได้ดีกว่า

"คนเก่ง ไม่ใช่คนทำงานหนัก"
แต่คือคนที่รู้ว่า “อะไรควรใช้เวลา และอะไรควรให้ AI ทำแทน และวันนี้ AI ไม่ได้แทนที่ แต่ช่วยให้งานไวขึ้น
Insight 200 หน้า → สรุปเหลืออ่านแค่ 2 หน้า
Draft wireframe 10 หน้า → เสร็จใน 15 นาที
UX copy → เร็วขึ้นเฉลี่ย 40%
Prototype หรือแม้แต่ Code → เร็วขึ้นกว่า 50%
ตรวจ consistency อัตโนมัติ → ไม่ต้องซูม 400% ไล่พิกเซลอีกต่อไป

ผลลัพธ์คือ Designer ที่ใช้ AI เซฟเวลาได้เฉลี่ย "1 ชั่วโมงต่อวัน"
= 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
= 20 ชั่วโมงต่อเดือน
= หลายร้อยชั่วโมงต่อปี
เวลาที่ได้คืนมา ไม่ได้หมายถึง “ความขี้เกียจ”
แต่มันคือโอกาสที่จะลงทุนกลับไปสู่ งานที่สร้างคุณค่าจริง ๆ
เช่น การตีความ Insight ของผู้ใช้, การออกแบบ Interaction ที่ intuitive และ delightful, หรือการวางกลยุทธ์และเล่าเรื่องผ่าน design ให้คนจดจำได้
นี่คือบทเรียนสำคัญของ Designer ยุคใหม่ — ไม่ใช่แค่ใช้ AI ให้เร็วขึ้น
แต่คือการแยกให้ออกว่า งานแบบไหนปล่อยให้ AI ทำแทน และงานแบบไหนคือคุณค่าที่มนุษย์ต้องโฟกัส

เพราะโลกใหม่ไม่ได้ถามว่าคุณทำงานหนักแค่ไหน แต่จะถามว่า คุณใช้ AI เป็นหรือยัง



